วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เขียนบทความจากเรื่องที่ฟัง

แก้ไฟริษยาอย่างไร
“ความริษยา” คือการเห็นเขาได้ดีแล้วทนไม่ได้ เป็นความร้อน เพราะมีความหมายว่า “ทนอยู่ไม่ได้” สิ่งที่ต้องทนนั้นถ้าพอทนได้ก็แสดงว่าไม่ร้ายแรง หรือไม่หนักหนานัก ความรู้สึกริษยาจนทนไม่ได้ ต้องให้ความร้อนอย่างยิ่ง และผู้ที่ได้รับความร้อนอย่างยิ่งนั้นก็มิใช่ผู้อื่น เป็นเจ้าตัวผู้มีความริษยาเอง
ความริษยา เป็นอาการอย่างหนึ่งของกิเลส ปุถุชนเป็นผู้มีกิเลส จึงเป็นธรรมดาที่ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตนให้เป็นไปโดย ปราศจากกิเลสได้เสมอไป ดังนั้นปุถุชนจึงย่อมยากที่จะควบคุมไว้ได้ไม่ให้เกิด ความริษยาของปุถุชนจึงย่อมเกิดได้เป็นระยะหรือเป็นครั้งคราว ต่อคนนั้นบ้างต่อคนนี้บ้าง ผู้มีปัญญา แม้ไม่สามารถดับความริษยาได้จริง แต่แก้ไขป้องกันควบคุมมิให้เกิดได้ แต่ผู้มีปัญญาเห็นโทษของความริษยาที่ตนได้รับว่า ยิ่งปล่อยให้มีความริษยามาก ตนก็จะได้รับโทษของความริษยามาก ผู้ขาดเมตตาต่อตนเมื่อเห็นเขาได้ดีทนอยู่ไม่ได้ ผู้ที่เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีแล้วเกิดความริษยาที่มักเรียกปนกันไปว่า อิจฉานั้น เป็นผู้ที่ขาดเมตตา โดยเฉพาะแก่ตนเอง เพราะเมื่อความริษยาก่อให้เกิดความร้อนใจ ผู้ยอมให้ความริษยาเกิดขึ้นก็เท่ากับทำใจตนให้ร้อน ไม่มีความสุขจึงเท่ากับไม่มีเมตตาต่อตนเอง ความริษยาจะให้ทุกข์แต่กับผู้มีความริษยาเท่านั้น มิให้ทุกข์ถึงผู้ถูกริษยาด้วย เพราะบางทีความริษยานั้น ก็มิอาจปรากฏออกเป็นการกระทำคำพูดได้ ต้องอัดแน่นเป็นความทุกข์ร้อนอยู่แต่ในหัวใจผู้มีความริษยาเท่านั้น จึงพยายามไม่ให้ความริษยาเกิดขึ้นเสียดีกว่า ความริษยาเกิดแก่ผู้ใด ผู้นั้นก็ย่อมจะเกิดความร้อนรุ่ม ผู้มีปัญญารู้ว่า ความริษยาเป็นความทุกข์เป็นความเร่าร้อนแก่ตนแน่นอน ตรงกันข้ามกับเมตตา ที่ทำให้ความสุขความเย็นแก่ตนแน่นอน และเมตตาก็ดับความริษยาได้ เช่นเดียวกับดับโกรธได้ ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงอบรมเมตตา เพื่อให้เพียงพอสำหรับดับความโกรธและความริษยา ความคิดของคนเรานั้นสำคัญนัก แม้การทำให้ความริษยาเกิดหรือไม่ทำให้เกิดให้ความริษยานั้น เกิดจากการที่เราคิดขึ้นเอง หากเรามีเมตตาเมตตา ก็จะไม่เกิดความริษยา ความยินดีด้วยเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีย่อมให้ความสุขแก่ตัวเรา ถ้าผู้นั้นเป็นผู้ที่เรารัก เป็นลูกหลาน ก็จะพาให้ความยินดีเกิดขึ้นในใจ ความคิดนั้นจะเป็นไปในทางชื่นชมยินดีในผู้ได้ดี เช่นว่า มีความดีความเหมาะควรต่างๆ สมกับความดีที่ได้รับนั้น ยินดีด้วยเมื่อผู้อื่นได้ดีเราเองก็จะมีความสุข เช่นเดียวกับความริษยา ที่ทำให้ความทุกข์แก่ตัวเรา ริษยาเป็นไฟทำให้ใจร้อนใจไหม้ ผู้ที่มีความริษยาแรงเท่าใด การจะแลเห็นความแจ่มใจ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นเรามาดับไฟริษยากันจะดีกว่า ด้วยใช้เมตตาและสันโดษ ความริษยาจะเกิดหรือไม่เกิด จะเกิดเบาหรือเกิดแรง ขึ้นอยู่กับความคิดของเราทั้งสิ้น มิได้ขึ้นอยู่กับอะไรอื่น ผู้มีปัญญาย่อมรู้ว่าใจของตนคิดอย่างไร มีวิธีการควบคุมได้อย่างไร สุดท้ายไฟริษยาก็จะหมดไปจากใจเราอย่างแท้จริง


-------------------------------------
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของศึกษารายวิชา ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
เอกสารอ้างอิง

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3147

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทำผังความคิดเป็นบทความใหม่

เรื่องสิ่งที่พ่อแม่ต้องสอนลูก

ในปัจจุบันนี้มักมีข่าวว่าลูกๆเนรคุณพ่อแม่ ทำร้ายพ่อแม่ เป็นเด็กก้าวร้าว ไม่มีความอ่อนน้อม ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ส่วนพ่อแม่เองก็มักจะเรียกร้องให้ลูกมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ การที่พ่อแม่จะขอให้ลูกกตัญญูต่อพ่อแม่นั้น พ่อแม่ควรถามตัวเองก่อนว่าได้ทำหน้าที่ตัวเองดีแล้วหรือยัง

สิ่งที่พ่อแม่ควรกระทำต่อลูกนั้น คือ พ่อแม่มีหน้าที่ต้องสอนให้ลูกเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ตามคำกล่าวของพระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี ) ที่ท่านได้กล่าวถึงสิ่งที่พ่อแม่ต้องสอนลูกไว้ 5 ประการ อันได้แก่

1. ห้ามปรามลูกจากความชั่ว ห้ามไม่ให้เขาทำชั่วทั้งทางกาย วาจา และใจ

2. อะไรคือความดี ต้องสอนให้ลุกเข้าใจว่าความดีคืออะไร เมื่อทำไปแล้วได้ผลอย่างไร

3. ให้การศึกษาที่ดีแก่ลูก เป็นเกณฑ์สำคัญมาก โดยเริ่มต้นจากที่บ้านก่อน

4. หาคู่ครองที่คู่ควรและเหมาะสมให้แก่ลูกเมื่อถึงเวลาอันสมควร โดยในที่นี้พ่อแม่จะคอยเป็นหูเป็นตาให้ลูก ว่าลูกกำลังคบใคร เขาคนนั้นเป็นคนอย่างไร การศึกษาอยู่ในระดับใด ครอบครัว หน้าที่การงานและฐานะทางสังคมเป็นอย่างไร

5. มอบมรดกให้ลูกเมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งมรดกที่กล่าวถึงนั้นก็มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ

- คุณธรรมความดี พ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีในการประพฤติตนเป็นคนดี มีศีลธรรม แล้วถ่ายทอดให้ลูกโดยการปลูกจิตสำนึกให้กับลูก ให้ลูกได้ซึมซับคุณธรรมความดีจากพ่อแม่

- ชื่อเสียง เกียรติยศ คือสิ่งที่พ่อแม่หรือบรรพบุรุษได้สร้างเอาไว้ พ่อแม่ควรแสดงให้ลูกเห็นและรับรู้ถึงความภาคภูมิใจและความสำคัญความสำคัญ จากนั้นก็สอนให้เขาได้รู้จักการสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ และรักษาเกียรติยศที่มีให้คงอยู่สืบไป

- ทรัพย์สมบัติ คือสิ่งที่พ่อแม่ต้องมอบให้ลูกได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปในอนาคตไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เป็นต้น เมื่อให้ลูกไปแล้วพ่อแม่ก็ต้องสอนให้ลูกรู้จักการนำไปใช้ในทางที่ดีและเกิดประโยชน์มากที่สุด

จากการที่ได้กล่าวถึงหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องสอนลูกไว้ข้างต้นแล้วพระมหาวุฒิชัย

(ว.วชิรเมธี) ท่านก็ยังได้กล่าวถึงหน้าที่ของลูกที่ดีไว้ 5 ประการเช่นกัน ซึ่งได้แก่

1. ท่านเลี้ยงเรามาแล้วต้องเลี้ยงท่านตอบ ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อเรายังเด็กพ่อแม่เป็นผู้ที่คอยเลี้ยงดู ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเรามาเป็นอย่างดีตั้งแต่เรายังเล็ก ให้ความรักการดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะสามารถเลี้ยงดูท่านได้แล้ว เราก็ต้องตอบแทนท่านด้วยการดุแลท่านเช่นกัน โดยการดูแลให้ท่านมีชีวิตที่สุขสบายในวัยชราให้ความรักเอาใจใส่เหมือนที่ท่านได้ทำกับเรามาตั้งแต่เด็ก

2. ช่วยกิจการงานของท่าน ลูกมีหน้าที่ที่จะต้องเป็นผู้สืบทอดหรือดำเนินธุรกิจตามรอยที่ท่านเคยทำไว้ โดยทำให้ดีและดีที่สุด เพราะกิจการบางอย่างท่านอาจจะรักและภาคภูมิใจที่ได้สร้างมันมากับมือ ดังนั้นเราควรที่จะช่วยรักษากิจการงานนั้นให้คงอยู่และเจริญรุ่งเรืองสืบไป

3. ดำรงตนให้เป็นคนดีของวงศ์ตระกูล โดยการประพฤติปฏิบัติตนมิให้เป็นการทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล แต่สิ่งที่ควรทำก็คือ การสร้างชื่อเสียงในทางที่ดีให้แก่วงศ์ตระกูล

4. ประพฤติตนเป็นคนดี การประพฤติตนเป็นคนดีนั้น คือ การที่เราทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ

5. ทำบุญให้ท่านเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว คือ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้กับท่านซึ่งมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญตักบาตร เลี้ยงพระ หรือในบางครอบครัวทีลูกมีฐานะค่อนข้างดีอาจจะจัดเป็นงานมหากฐินไปเลยก็ได้ แล้วแต่กำลังทรัพย์ ซึ่งจะทำให้ท่านได้รับส่วนบุญส่วนกุศล

นอกจากนี้แล้วยังมีหลักการเพิ่มเติมในการเลี้ยงดูลูก คือ การใช้หลักพรหมวิหาร 4 อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เข้ามาช่วยในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูก การใช้หลักพรหมวิหาร 4 ก็ต้องอาศัยความพอดี ไม่เกินขอบเขต เพราะจะทำให้ลูกได้ใจและคิดว่ายังไงพ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว

จากข้อความเนื้อหาสาระที่ได้บรรยายไว้ข้างต้นทั้งหมดเหล่านี้คือสิ่งที่พ่อแม่ต้องสอนลูกและสิ่งที่ลูกที่ดีต้องทำตาม เป็นหลักง่ายๆที่สามารถทำได้ และทำแล้วได้ผลจริงๆ เมื่อพ่อแม่ต้องการให้ลูกกตัญญูต่อตน พ่อแม่ก็ต้องสอนลูกให้ดี แล้วลูกก็จะเป็นลูกที่มีความกตัญญู ส่วนลูกเองก็ต้องทำหน้าที่ของลูกที่ดีเช่นเดียวกัน กล่าวคือทั้งพ่อแม่และลูกต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่ทุกฝ่ายต้องการอยากให้เป็น

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรียงความ 9 คำพ่อสอน เรื่อง พระพุทธศาสนากับธรรมมะ

9 คำพ่อสอน เรื่อง พระพุทธศาสนากับธรรมะ
สังคมมนุษย์ปัจจุบันนี้เริ่มมีความวุ่นวาย แก่งแย่งชิงดีกันมากขึ้น ขาดความรักใคร่ปรองดอง ไม่สมัครสมานสามัคคีกันเช่นในอดีต ขาดการอบรมสั่งสอนสิ่งที่ดีงาม ขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างกำลังจะถูกลืมไป สังคมเริ่มบอบช้ำมากขึ้นทุกวันนั่นก็เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัวของคนในสังคมที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆสิ่งเดียวที่พอจะสามารถนำมาใช้เยียวยาสังคมได้ก็คือ การนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนากับธรรมะเข้ามาช่วยนั่นเอง
การที่มนุษย์ในสังคมของเราจะอยู่ได้ด้วยความผาสุก มีความสงบร่มเย็นนั้น เกิดจากการรู้จักที่จะนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือที่เรียกกันว่าธรรมะเข้ามาใช้ในชีวิต เป็นต้นว่าการนำธรรมะเข้ามาช่วยในการขัดเกลาจิตใจ ความประพฤติให้ดีขึ้น การนำหลักธรรมะไปใช้ก็ได้แก่ การประพฤติตนเป็นคนดี รักษาศีล ทำบุญทำทานตามโอกาสที่เหมาะสม อีกประการหนึ่งก็คือการใช้ธรรมมะร่วมกับการใช้ปัญญาในการวิเคราะห์ความรู้เหตุรู้ผลว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี จะทำให้คนเราเป็นคนที่คิดอย่างรอบคอบ คิดอย่างมีระบบ เป็นคนที่มีเหตุมีผล มีคนไว้วางใจ ทำการสิ่งใดก็ประสบผลสำเร็จ อันจะเห็นได้จากบุคคลตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในทุกๆด้าน หลายท่านได้เผยว่า ท่านได้นำหลักธรรมะมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและชี้นำทางไปสู่ความสำเร็จทั้งสิ้น การใช้ธรรมมะขัดเกลาตัวเองและจิตใจจะส่งผลให้กลายเป็นคนที่เฉลียวฉลาด ส่วนความดีนั้นก็จะส่งผลให้เรากลายเป็นคนที่มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต เราในฐานะชาวพุทธควรปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี รู้จักเข้าวัดฟังธรรม รู้จักปฏิบัติธรรมตามโอกาสที่เหมาะสม เท่าที่เราจะสามารถทำได้ ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่อยากเลย เช่น การนั่งสมาธิ สวดมนต์ ภาวนา รักษาศีล เหล่านี้ก็ถือเป็นการปฏิบัติธรรมในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธแล้ว อีกประการที่สำคัญของการปฏิบัติตนในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธก็คือ ควรมีการส่งเสริมการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ส่งเสริมการทำความดี โดยการเริ่มที่ตัวเราเอง ส่งต่อไปยังครอบครัว คนรอบข้าง จนกระทั่งทุกคนในสังคมต่อๆไป ผลที่ได้รับแน่นอนนั่นก็คือ ความเจริญงอกงามในชีวิต ซึ่งเราจะพบและสัมผัสได้อย่างแท้จริง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมย่อมจะมีชีวิต การเรียน การงาน ที่สว่าง สะอาด และสงบ
ที่สุดแล้วการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและธรรมะเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ล้วนแล้วแต่จะส่งผลดีต่อตนเองและคนรอบข้าง สำคัญที่ว่าคนทุกคนควรน้อมรำลึกถึงสิ่งที่ดีงามอยู่เสมอ พึงระลึกและรู้สึกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าวันนี้เราทำความดีแล้วหรือยัง ความดีทำแล้วก็มีแต่จะได้ดี สุดท้ายผลของความดีที่เราทำไว้ก็จะนำความสุขความเจริญ และความร่มเย็นมาให้แก่ทุกคน คนที่ทำดีอยู่แล้วขอให้มีกำลังใจในการทำความดีต่อไป เพื่อสังคมไทยของเราจะได้มีแต่ความสุขความเจริญสืบต่อไป

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 3 เรียนเรื่องการลงโปรแกรม

วันนี้อาจารย์สอนเรื่องการลงโปรมแกรม แต่ลงไม่ได้เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่อนุญาตให้นำโปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์มาลง จึงไม่สามารถลงโปรมแกรม Mind Manager ได้

สัปดาห์ที่ 5 เรียนเรื่องการใช้ประโยชน์จากโปรแกรม free mind และโปรแกรม mindmanager


วันที่ 29 มิถุนายน 2552

วันนี้อาจารย์สอนเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากโปรแกรม free mind และ mind manager

โดยการนำมาทำเป็นผังความคิด หรือ mind map นั่นเอง

หัวข้อที่อาจารย์แบ่งให้นั้นมาจากหนังสือคำพ่อสอน

กลุ่มของดิฉันได้หน้าที่ 129-140

เนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องธรรมะ

วันนี้เรียนสนุกมากค่ะ

ประวัติส่วนตัว


ชื่อ นางสาวศิวพร ศิริภักดิ์
ชื่อเล่น กล้วย
อายุ 18 ปี
เกิดวันที่ 19 พฤศจิกายน 2533
ภูมิลำเนาเดิม 17/2 บ้านโคกล่าม ต.ดงลิง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ 46130
ที่อยู่ปัจจุบัน 169 ถ.ลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี 20131
งานอดิเรก ปลูกต้นไม้ ดูซีรี่ส์เกาหลี ฟังเพลง
จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนอนุกูลนารี จ.กาฬสินธุ์
ปัจจุบัน กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 1
สีที่ชอบ ชมพู
สิ่งที่รัก การเดินทาง
สถานที่ที่อยากจะไป กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
อาหารที่ชอบ ช้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง
เพลงโปรด Because of you
คติประจำใจ "ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย"

สัปดาห์ที่ 2 เรียนเรื่องการลงโปรแกรม


วันที่ 22 มิถุนายน 2552
วันนี้ได้เรียนเกี่ยวกับการลงโปรแกรม
การดาวน์โหลดโปรแกรม การดาวน์โหลดคลิปวีดีโอ
และวันนี้ช่วงต้นชั่วโมง อาจารย์ให้ส่งคอมเม้นต์บล็อกของอาจารย์
นิสิต 40 คนอรกที่ส่งเข้าไปได้เร็วที่สุดจะได้คะแนน 10 คะแนน
ส่วนที่เหลือจะได้คนละ 8 คะแนน กล้วยส่งทัน 40 คนแรก ดีใจมากๆค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ข่าวประกาศ


เพื่อนๆคนใดที่สนใจอยากหารายได้พิเศษที่ไม่ต้องทำอะไรมากมาย
และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
คลิกที่นี่เลยนะคะ
http://kluai2009.dubaimlm.com/

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 4 แนวทาง 9 คำพ่อสอนเกี่ยวกับการเรียนศึกษาศาสตร์

ความสำเร็จทุกประการนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีความพยายามที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีพลังที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ ท้อได้แต่ต้องไม่ถอย แน่นอนเราต้องชนะ

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่ 1 เริ่มเรียนวิชา Content Analysis Skills for IT


15 มิถุนายน 2552
เวลา 06.30 น. ตื่นนอน
เวลา 07.00 น. อาบน้ำ แต่งตัว
เวลา 07.30 น. ลงมารอรถที่หน้าหอ เทา-ทอง2
เวลา 08.00 น. เริ่มเรียนวิชาแรก คือ วิชา Art for Teacher ที่ห้อง Qs1 107
เวลา 10.00 น. เรียนวิชา Content Analysis Skills for IT ที่ห้อง Qs1 208

ความคาดหวังของรายวิชา



1.เพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสร้าง web blog
2.ให้นิสิตเกิดทักษะและความชำนาญ
3.สามารถบอกวิธีการสร้างบล็อกได้
4.นำความรู้ที่ได้จากการสร้างบล็อกไปใช้ประโยชน์ได้
5.สามารถถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับให้กับผู้อื่นได้